แนะวิธีใช้โซดาไฟให้ปลอดภัย ป้องกันอันตรายจาก "ก๊าซไข่เน่า"
By Benz 15 Aug 2024
ศูนย์พิษวิทยาศิริราช แนะวิธีใช้โซดาไฟให้ปลอดภัย ป้องกันอันตรายจาก "ก๊าซไข่เน่า"
ศูนย์พิษวิทยาศิริราช อธิบายข้อมูลควรรู้เกี่ยวกับ "โซดาไฟ" พร้อมแนะนำวิธีใช้เป็น "น้ำยาขจัดท่อตัน" อย่างไรปลอดภัย และป้องกันอันตรายจาก "ก๊าซไข่เน่า"วันที่ 14 สิงหาคม 2567 มีรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก Siriraj Poison Control Center ของศูนย์พิษวิทยาศิริราช ได้โพสต์ข้อความอธิบายเรื่อง โซดาไฟ และ อันตรายจากก๊าซไข่เน่า โดยระบุว่า โซดาไฟ หรือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (Sodium Hydroxide) เป็นสารเคมีที่มีสูตรทางเคมีว่า NaOH
คุณสมบัติ เป็นของแข็งสีขาว ละลายน้ำได้ดี มีฤทธิ์เป็นด่างแก่ กัดกร่อนมาก เกิดการไหม้ได้หากสัมผัสโดยตรง
ก๊าซพิษที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องกับโซเดียมไฮดรอกไซด์
- ก๊าซคลอรีน : เมื่อโซเดียมไฮดรอกไซด์ทำปฏิกิริยากับสารประกอบที่มีคลอรีนบางชนิด
- ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ : หากโซเดียมไฮดรอกไซด์ทำปฏิกิริยากับสารประกอบที่มีกำมะถัน
- ก๊าซแอมโมเนีย: เมื่อโซเดียมไฮดรอกไซด์ทำปฏิกิริยากับเกลือแอมโมเนียม
- ก๊าซไฮโดรเจน : แม้ไม่เป็นพิษ แต่ติดไฟได้ง่ายมากและอาจเป็นอันตรายในความเข้มข้นบางระดับ เกิดขึ้นเมื่อโซเดียมไฮดรอกไซด์ทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิด
- ก๊าซฟอสฟีน : สามารถเกิดขึ้นได้หากโซเดียมไฮดรอกไซด์ทำปฏิกิริยากับสารประกอบที่มีฟอสฟอรัส
การใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์เป็นน้ำยาขจัดท่อตันอย่างปลอดภัย
- การระบายอากาศ : ให้แน่ใจว่ามีการไหลเวียนของอากาศที่ดีโดยเปิดหน้าต่าง หรือใช้พัดลมระบายอากาศเพื่อป้องกันการสะสมของก๊าซพิษ
- ออกจากห้องน้ำนั้นทันทีเมื่อใส่โซเดียมไฮดรอกไซด์แล้วและหลีกเลี่ยงการเข้าบริเวณห้องน้ำนั้นอย่างน้อย 30-60 นาที
- หลีกเลี่ยงการผสมสารเคมี : ห้ามใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์หากมีการใช้น้ำยาฟอกขาว แอมโมเนีย หรือน้ำยาทำความสะอาดที่มีกำมะถัน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเพื่อหลีกเลี่ยงการผลิตก๊าซอันตราย เช่น คลอรีนหรือไฮโดรเจนซัลไฟด์
- สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล : ใช้ถุงมือ แว่นตานิรภัย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ แผลไหม้จากสารเคมีและการระคายเคือง
- การใช้งานอย่างระมัดระวัง : เติมโซเดียมไฮดรอกไซด์อย่างช้าๆ และในปริมาณน้อยเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระเด็นและปฏิกิริยาที่อันตราย
- ใช้น้ำเย็น : ล้างด้วยน้ำเย็น อย่าใช้น้ำร้อนเพื่อป้องกันปฏิกิริยาที่รุนแรงเกินไป
- การตอบสนองต่อปฏิกิริยา : หากมีกลิ่นผิดปกติหรือฟองก๊าซปรากฏขึ้น ให้หยุดทันที ระบายอากาศในพื้นที่ และออกจากที่นั้นทันที
- การเก็บรักษาและการกำจัด : เก็บโซเดียมไฮดรอกไซด์ในที่เย็นและแห้ง ห่างจากสารเคมีอื่นๆ
ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือ "ก๊าซไข่เน่า"
สำหรับข้อมูลของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ศูนย์พิษวิทยาศิริราช ได้โพสต์ข้อมูลระบุว่า อันตรายจากก๊าซไข่เน่า (ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ; H2S) สำหรับบุคคลทั่วไป ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S) หรือ "ก๊าซไข่เน่า"
คุณสัมบัติ : เป็นก๊าซไม่มีสี มีกลิ่นเหม็นคล้ายไข่เน่า
แหล่งที่พบ
- เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์โดยแบคทีเรียในสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น หนองน้ำ ท่อระบายน้ำ และบ่อปุ๋ยคอก
- เกิดจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรม เช่น การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ การบำบัดน้ำเสีย
อันตรายของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์
- ในระดับความเข้มข้นต่ำ : อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตา จมูก และลำคอ ทำให้เกิดอาการไอ น้ำตาไหล และหายใจลำบาก
- การสัมผัสในระดับต่ำถึงปานกลาง : อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ และปัญหาการหายใจ
- การสัมผัสในระดับสูง : อาจทำให้สูญเสียการรับรู้กลิ่นและเกิดอาการรุนแรง เช่น การระคายเคืองตาและระบบทางเดินหายใจ
- การสัมผัสในระดับสูงมาก : อาจทำให้หมดสติ และระบบหายใจล้มเหลวได้อย่างรวดเร็ว
การรับรู้ถึงอันตราย
ความสามารถของก๊าซนี้ในการทำให้ประสาทรับกลิ่นชินกับกลิ่นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายความว่าหลังจากสัมผัสครั้งแรก บุคคลอาจไม่สามารถตรวจจับกลิ่นไข่เน่าได้อีก แม้ก๊าซยังคงอยู่ในระดับอันตราย
สัญญาณเตือนที่ควรระวัง
- กลิ่นที่ผิดปกติ : กลิ่นไข่เน่าในสถานที่อุตสาหกรรมหรือพื้นที่ปิดควรได้รับการระวังเสมอ
- อาการทางร่างกาย : หากคุณหรือผู้อื่นมีอาการระคายเคืองที่ตา หรือทางเดินหายใจอย่างกะทันหัน เวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ในบริเวณที่อาจมีไฮโดรเจนซัลไฟด์ ให้ออกจากบริเวณนั้นทันทีและหาที่อากาศบริสุทธิ์
วิธีป้องกันการเป็นพิษ
1. ระบายอากาศ : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพื้นที่เสี่ยงมีการระบายอากาศที่ดี
2. สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล: เมื่อทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสม
3. ตรวจจับก๊าซ: ติดตั้งเครื่องตรวจจับก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ในพื้นที่เสี่ยง
4. ขั้นตอนฉุกเฉิน: มีแผนการอพยพและการฝึกซ้อมฉุกเฉินเพื่อเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์
การรู้จักอันตรายและดำเนินการป้องกันอย่างเหมาะสมสามารถช่วยปกป้องคุณและผู้อื่นจากอันตรายของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ได้
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐออนไลน์