ผู้สูงอายุ คนแก่ คนสูงอายุ คนชรา ผู้ป่วยติดเตียง
  • ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
    • พาหาหมอ / รับยา
    • พาผู้สูงอายุเที่ยว
    • กายภาพบำบัดที่บ้าน
    • ประกันผู้สูงอายุ
    • วางแผนทางการเงินผู้สูงอายุ
  • ดูแลผู้ป่วย
  • ผู้สูงอายุ
  • บทความ
  • รู้จัก 'โรคเบาจืด' คืออะไร? แตกต่างหรือเหมือน 'โรคเบาหวาน'
PR News

รู้จัก 'โรคเบาจืด' คืออะไร? แตกต่างหรือเหมือน 'โรคเบาหวาน'

By Benz   11 ก.ค. 2567

รู้จัก 'โรคเบาจืด' คืออะไร? แตกต่างหรือเหมือน 'โรคเบาหวาน'

รู้จัก 'โรคเบาจืด' คืออะไร? แตกต่างหรือเหมือน 'โรคเบาหวาน'

หากเอ่ยคำว่า “โรคเบาจืด” เชื่อว่าหลายๆ คนคงสงสัยว่ามีโรคนี้ด้วยหรือ? เพราะทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าโรคเบา.... ขึ้นมาทุกคนจะชินกับคำว่า “โรคเบาหวาน” มากกว่า ซึ่งโรคเบาจืดแม้จะเป็นโรคที่พบได้น้อยในหมู่ของคนทั่วไป แต่ขึ้นชื่อว่าโรค ย่อมอันตรายร้ายแรงที่จะต้องระวังไม่แพ้โรคอื่นๆ

“โรคเบาจืด (Diabetes Insipidus)” คือ โรคที่เกิดจากร่างกายสูญเสียการควบคุมสมดุลของน้ำ ส่งผลให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกมามากกว่าปกติ โดยสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดคือ ความผิดปกติของต่อมใต้สมองหรือสมองส่วนไฮโปธาลามัสจากสาเหตุต่างๆ เช่น การติดเชื้อ เนื้องอกต่อมใต้สมอง การผ่าตัดหรือการบาดเจ็บบริเวณต่อมใต้สมอง ทำให้ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Antidiuretic Hormone) มาควบคุมการปัสสาวะได้ตามปกติ  ความผิดปกติของระบบการทำงานของไต ทำให้ไตไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด

ในปัจจุบันยังไม่มีสถิติชัดเจนว่า พบผู้ป่วยโรคเบาจืดจำนวนเท่าใด ยกเว้นในกลุ่มเด็กที่สามารถพบได้เพียง 3-4 ราย ใน 1 แสนคน แต่หากเป็นโรคนี้ต้องได้รับการดูแลรักษาโรค 

"โรคเบาจืด" เป็นแล้วรักษาไม่หายขาด ต้องกินยาตลอดชีวิต


นพ.ภาสกร ชัยวานิชศิริ ประธานที่ปรึกษา สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราช ชนนี (สบยช.) ได้ให้สัมภาษณ์  ว่า โรคเบาจืดเป็นโรคที่สามารถพบได้ทุกวัย แม้พบได้น้อยมาก โดย 1 แสนคน จะพบผู้ป่วยเพียง 3-4 รายเท่านั้น แต่โรคเบาจืดเป็นโรคที่ไม่มียารักษาให้หายขาด ต้องกินยาไปตลอดชีวิต

โรคเบาจืดมีสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติ “ฮอร์โมนวาร์โซเพรสซิน (Vasopressin)” ซึ่งเป็นฮอร์โมนควบคุมการขับปัสสาวะ โดยจะทำงานอยู่ในสมองส่วนไฮโปทาลามัส  ฮอร์โมนวาร์โซเพรส
ซินทำหน้าที่สั่งการให้ไตกักเก็บสารน้ำสำหรับหล่อเลี้ยงร่างกาย และควบคุมการขับปัสสาวะให้เป็นปกติ เมื่อฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินผิดปกติ หรือผลิตน้อยกว่าความจำเป็นของร่างกายจะทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ซึ่งก็คือ การเริ่มต้นของโรคเบาจืดนั่นเอง


สังเกตอาการของโรคเบาจืด

  • จะปัสสาวะบ่อย และปัสสาวะครั้งละมากๆ  มักปัสสาวะมากกว่า 3 ลิตรต่อวัน บางรายอาจปัสสาวะมากกว่า 10 ลิตรต่อวัน
  • ปัสสาวะมักไม่มีสี หรือกลิ่น เมื่อร่างกายเสียน้ำไปมาก
  • ผู้ป่วยจะกระหายน้ำบ่อย กระหายน้ำตลอดเวลาแม้ว่าจะดื่มน้ำไปในปริมาณมาก
  • อ่อนเพลีย ปากแห้ง คอแห้ง เนื่องจากการสูญเสียน้ำ
  • หากดื่มน้ำทดแทนส่วนที่เสียไปไม่ทันหรือไม่เพียงพอ อาจเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริวง่าย
  • ปวดหัว เวียนหัว หน้ามืด
  • มีอาการสับสน มีไข้สูง
  • ซึม ไม่รู้สึกตัว และช็อก หรือหมดสติ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย
  • ปวดบริเวณเอว ท้องน้อย เนื่องจากการคั่งของปัสสาวะบริเวณท่อไต กรวยไต กระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้อวัยวะดังกล่าวโตขึ้น

รู้จักประเภทของโรคเบาจืด

โรคเบาจืดสามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่

1. โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง
โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง (Central Diabetes Insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนไฮโปทาลามัส หรือต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) จนไปสั่งการให้ฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินกระตุ้นให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อยขึ้น

โรคเบาจืดชนิดนี้สามารถเป็นอาการแทรกซ้อนได้จากสาเหตุต่อไปนี้
  • เจ็บศีรษะและอาจเกิดเนื้องอกที่สมอง
  • ภาวะสมองบวม
  • ผนังหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (aneurysm)
  • เป็นโรคมะเร็งชนิดเซลล์เม็ดเลือดขาวผิดปกติ (Langerhans cell histiocytosis)

2. โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต
โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต (Nephrogenic diabetes insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดจากไตไม่ตอบสนองการสั่งการของฮอร์โมนวาร์โซเพรสซิน และดึงเอาสารน้ำออกไปจากกระแสเลือดมากเกินไป

โรคเบาจืดชนิดนี้สามารถเกิดได้จากสาเหตุต่อไปนี้
  • โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
  • โรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease)
  • ภาวะแคลเซียมสูงในกระแสเลือด
  • ภาวะโพแทสเซียมต่ำในกระแสเลือด
  • การรับประทานยาบางชนิด เช่น ลิเทียม (Litium)

3. โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติในการกระหายน้ำ
โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติในการกระหายน้ำ (Dipsogenic diabetes insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดจากร่างกายไม่สามารถควบคุมความกระหายน้ำได้ และไปลดปริมาณ

ฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินในร่างกาย อาจเกิดได้จากปัจจัยดังนี้
  • การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
  • การมีเนื้องอก
  • การติดเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย
  • การศัลยกรรม

4. โรคเบาจืดที่เกิดจากการตั้งครรภ์
โรคเบาจืดที่เกิดจากการตั้งครรภ์ (Gestational diabetes insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์
  • สาเหตุของโรคเบาจืดชนิดนี้ เกิดจากรกเด็กซึ่งทำหน้าที่ส่งออกซิเจนและอาหารเลี้ยงทารกได้สร้างเอนไซม์ที่ลดปริมาณฮอร์โมนวาร์โซเพรสซิน และไปลดการตอบสนองของไตต่อฮอร์โมนตัวนี้ โดยปกติโรคนี้จะหายได้เองหลังจากคลอดบุตรแล้ว
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาจืด
หากไม่รีบรักษาโรคเบาจืดตั้งแต่เนิ่นๆ ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนบางประเภทได้ เช่น
  • ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) เพราะการปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
  • ภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ (Electrolyte imbalance) โดยจะมีอาการหลักๆ คือ ปวดศีรษะ อ่อนเพลียตลอดเวลา ปวดเมื่อยตามตัว
  • นอนไม่พอ (Less sleep) เนื่องจากอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน (Nocturia) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรคเบาจืด

โรคเบาจืดวินิจฉัยอย่างไร ?

หากมีอาการเบื้องต้นที่สงสัยโรคเบาจืด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์จะถามประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจปัสสาวะ การทดสอบทางฮอร์โมน การตรวจเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองในกรณีสงสัยความผิดปกติของต่อมใต้สมองหรือสมองส่วนไฮโปธาลามัส


ดูแลและการป้องกันเมื่อเป็นโรคเบาจืด

วิธีการรักษาและปฏิบัติตัวที่สำคัญของผู้ที่เป็นโรคเบาจืด คือ
  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ถ้าอยู่ในที่อากาศร้อนจัด ร่างกายต้องสูญเสียน้ำไปทางผิวหนังมาก
  • คนไข้ที่มีอาการท้องเดิน ท้องเสีย ต้องพยายามทดแทนโดยการดื่มน้ำเปล่าให้มาก
  • สังเกตว่า ตนเองปัสสาวะปกติดีหรือไม่ แล้วมีอาการเจ็บ หรือแสบขัดระหว่างปัสสาวะหรือเปล่า โดยโดยปกติคนเราจะปัสสาวะประมาณวันละ 4-8 ครั้งต่อวัน
  •  หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด เพราะอาหารที่เค็มจัดจะมีเกลือมาก ร่างกายจะขับเกลือออกมาทางไตและออกมากับปัสสาวะ เป็นสาเหตุให้ร่างกายถูกดึงน้ำออกไป จึงทำให้ขาดน้ำมากขึ้น
  • ใช้ยาตามแพทย์สั่งให้ครบและตรงเวลาสม่ำเสมอห้ามหยุดยาหรืองดยาไปเอง เพราะโรคนี้จำเป็นต้องใช้ยาควบคุมเสมอ
  • ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

อย่างไรก็ตาม โรคเบาจืดมักเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยต้องใช้ยาฮอร์โมนทดแทนตลอดชีวิต หากสงสัยว่าอาจเป็นโรคเบาจืดควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยต่อไป เนื่องจากภาวะเบาจืดอาจเป็นอาการของโรคทางสมอง โรคเลือด หรือความผิดปกติแต่กำเนิดบางอย่างได้
อ้างอิง:สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี , hdmal , โรงพยาบาลสินแพทย์

ขอขอบคุณข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ

บทความอื่นๆ

เมื่ออายุมากขึ้นต้องระวังการใช้ยามากขึ้น

PR News

06 มี.ค. 2568

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยปรับตัวอย่างไร

PR News

13 ม.ค. 2568

ยอดผู้ป่วยรอปลูกถ่ายอวัยวะ สูงถึง 7 พันราย 'โรคไต' ครองแชมป์รออวัยวะสูงสุด

PR News

15 ส.ค. 2567

บทความยอดนิยม

1

"ไข้หวัดนก" กรมควบคุมโรคแจ้ง คนมาจากพื้นที่ระบาด หากป่วย รีบไปพบแพทย์

PR News

15 มิ.ย. 2567

2

เช็คด่วน! เงื่อนไข "หวยเกษียณ-สลากเกษียณ" ใบละ 50 บาท ลุ้นรางวัลใหญ่ 1 ล้านบาท!

PR News

06 มิ.ย. 2567

3

บอร์ดสปสช. ไฟเขียวท้องถิ่น จัดรถนำ “ผู้ทุพพลภาพ”ไปรพ. ฟรี

PR News

15 ส.ค. 2567

4

ยอดผู้ป่วยรอปลูกถ่ายอวัยวะ สูงถึง 7 พันราย 'โรคไต' ครองแชมป์รออวัยวะสูงสุด

PR News

15 ส.ค. 2567

5

เปิดเส้นทางรัฐ ไปยังไงต่อ 'เศรษฐา' พ้นนายก อวสานเงินดิจิทัล 10000 บาทหรือไม่

PR News

15 ส.ค. 2567

ข้อแนะนำการอ่านหนังสือสำหรับผู้สูงอายุ
การอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุอย่างมาก ช่วยให้กระตุ้นสมอง เพิ่มความรู้ พัฒนาทักษะการสื่อสาร และผ่อนคลาย ดังนี้

การเลือกประเภทหนังสือ:
  • เลือกหนังสือที่ผู้สูงอายุสนใจ: เลือกหนังสือที่สอดคล้องกับความสนใจและประสบการณ์ของผู้สูงอายุ เช่น นิยาย หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ การท่องเที่ยว ฯลฯ
  • เลือกหนังสือที่เหมาะกับระดับการอ่าน: เลือกหนังสือที่มีตัวอักษรที่ชัดเจน ประโยคสั้นๆ และภาษาที่เข้าใจง่าย
  • เลือกหนังสือที่มีเนื้อหาเป็นประโยชน์: เลือกหนังสือที่มีเนื้อหาที่ช่วยให้ผู้สูงอายุเรียนรู้ พัฒนาทักษะ หรือผ่อนคลาย

การอ่านหนังสือ หรือ บทความมีประโยชน์มากมายต่อคนทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ดังนี้

1. กระตุ้นสมอง: การอ่านช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยให้สมองได้คิดและได้ทำงานตลอดเวลา การอ่านหนังสือสม่ำเสมอจะช่วยชะลอและป้องกันการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้
2. เพิ่มความรู้: การอ่านหนังสือช่วยให้เราได้รับความรู้จากเนื้อหาในหนังสือ แม้ว่าจะยังไม่ได้ใช้ในตอนนี้ แต่ก็ยังคงเป็นประโยชน์ในอนาคต
3. พัฒนาทักษะการสื่อสาร: การอ่านช่วยให้เราได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ และรูปแบบประโยคที่หลากหลาย ทำให้เราสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ฝึกสมาธิ: การอ่านหนังสือช่วยให้เราจดจ่อกับเรื่องราวในหนังสือ ฝึกสมาธิและความตั้งใจ
5. ผ่อนคลาย: การอ่านหนังสือช่วยให้เราผ่อนคลาย ลดความเครียด และรู้สึกสงบ
6. เพิ่มความรู้รอบตัว: การอ่านหนังสือช่วยให้เรารู้เรื่องราวต่างๆ ทั่วไป สามารถพูดคุยกับผู้อื่นได้อย่างมั่นใจ
7. พัฒนาการคิดวิเคราะห์: การอ่านหนังสือช่วยให้เราฝึกคิดวิเคราะห์ เรียนรู้จากเรื่องราวในหนังสือ และนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง
8. ฝึกจินตนาการ: การอ่านหนังสือช่วยให้เราฝึกจินตนาการ คิดภาพตามเรื่องราวในหนังสือ
9. ความบันเทิง: การอ่านหนังสือช่วยให้เราเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย และสนุกกับการอ่าน
10. พัฒนาการอ่าน: การอ่านหนังสือช่วยให้ทักษะการอ่านของเราดีขึ้น เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น

การอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุทุกคน เพียงเลือกหนังสือที่เหมาะกับความสนใจและระดับการอ่าน ก็สามารถได้รับประโยชน์จากการอ่านอย่างเต็มที่

Popular Tags

blog/view.html บางขุนเทียน ห้วยขวาง ภาษีเจริญ พญาไท ธนบุรี บางกอกใหญ่ บางพลัด บางกอกน้อย คลองสาน

แนะนำ

ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ใกล้ฉัน ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ กรุงเทพ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ นนทบุรี
ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ปทุมธานี ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ สมุทรปราการ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ นครปฐม
ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ สมุทรสาคร ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ภูเก็ต ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เชียงใหม่
ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ โคราช ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ขอนแก่น ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เชียงราย
รู้จัก 'โรคเบาจืด' คืออะไร? แตกต่างหรือเหมือน 'โรคเบาหวาน'

Copyright © ผู้สูงอายุ คนแก่ คนสูงอายุ คนชรา ผู้ป่วยติดเตียง

  • เกี่ยวกับเรา
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นโยบายคุกกี้
  • ร้องเรียนเนื้อหาไม่เหมาะสม

แนะนำแจ้งเตือน แจ้งปัญหาการใช้งาน

ร่วมงานกับเรา

Messenger Line โทรศัพท์ 081-901-4440